
หาย หน้าหายตากันไปนานเฉียดสิบปี สำหรับปาเจโร่ในบ้านเรา เวอร์ชั่นล่าสุดที่เห็นกันนั้นเปิดตัวในปี พ.ศ. 2543 ตัวท็อปสุด และถือว่าเป็นรุ่นที่หรูหราสุดก็คือ รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน V6 3.5 ลิตร GDI ก่อนจะเงียบหายไปในกลีบเมฆ 9 ปีต่อมา คือเมื่อไม่นานมานี้ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ก็ได้ประกาศเปิดตัวมิตซูบิชิ ปาเจโร่ รุ่นใหม่ สู่ตลาดเมืองไทย โดยแนะนำรุ่น EXCEED ออกมาให้เห็นกัน
พูดถึงประวัติของ มิตซูบิชิ ปาเจโร่ กัน สักนิด ซึ่งทางต้นสังกัดนั้นได้คิดค้นรวมทั้งพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อมากว่า 70 ปี นับตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยการผลิต PX-33 ซึ่งเป็นรถต้นแบบของรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ในปี 2479 ก่อนจะพัฒนามาสู่การผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร่ คันแรกในปี 2525 ซึ่งนับรวมจนถึงปัจจุบัน มิตซูบิชิ ปาเจโร่ ได้รับการปรับเปลี่ยนโฉมมาแล้วถึง 3 ครั้ง มิตซูบิชิ ปาเจโร่ เปิด ตัวในประเทศไทยเป็นครั้งแรกในปี 2534 และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า โดยสร้างยอดการจำหน่ายกว่า 4,500 คัน ส่วนปัจจุบันนี้ถ้าเราจะหันไปมองกันในตลาดรถยนต์ SUV ยี่ห้อ มิตซูบิชิ ปาเจโร ในเมืองแม่ หรือว่าประเทศญี่ปุ่นนั้นก็มีให้เห็นกันหลายรุ่น ไล่กันมาตั้งแต่ตัว EXCEED ที่นำเข้ามาขายในบ้านเรา ซึ่งเดี๋ยวจะมาพูดถึงข้อมูลตัวรถกันอีกที รุ่น Long EXCEED ซึ่งก็จะแตกต่างกันในเรื่องของอุปกรณ์เล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีรุ่น Super EXCEED, Super Long EXCEED ซึ่งสองรุ่นหลังนี้จะใช้เครื่องยนต์ MIVEC รหัส 6G75 เครื่องเบนซิน บล็อก V6 สูบ 24 วาล์ว ความจุกระบอกสูบ 3.8 ลิตร 252 แรงม้า เมื่อเราดูจากสเปกญี่ปุ่นแล้วก็ให้เกิดความสงสัยเล็กน้อยในเรื่องของรุ่นกับ เครื่องยนต์ เพราะถ้าเป็นตัว EXCEED หรือรุ่น Long EXCEED นั้นจะใช้เครื่องยนต์ตัวเล็กกว่าคือ เครื่องยนต์รหัส 6G72 ไม่ใช่ระบบ MIVEC เป็นเครื่องยนต์ V6 สูบ เหมือนกัน แต่ความจุเครื่องยนต์เพียงแค่ 3.0 ลิตร 178 แรงม้า แต่ว่ารุ่น EXCEED ที่นำเข้ามาขายในบ้านเรานั้นจะใช้เครื่องยนต์ MIVEC รุ่นเดียวกับที่วางใน Super EXCEED สำหรับรุ่นอื่น ๆ ของปาเจโร่ในญี่ปุ่นนั้นยังมีชื่อรหัสต่อท้ายว่า GR และ Long GR เครื่องยนต์ รหัส 6G72 อุปกรณ์ หรือว่าของตกแต่งให้ด้อยกว่า เป็นต้นว่า ล้อ ซึ่งให้มาเป็นขอบ 16 นิ้ว ในขณะรุ่นก่อนหน้าที่เราพูดมาตัว Super EXCEED ใช้ขอบ 18 นิ้ว และรุ่น Long EXCEED เป็นขอบ 17 นิ้ว ต่อ มาเป็นตัว 3 ประตูที่เขาใช้ชื่อว่า Short Super EXCEED ซึ่งก็จะมีวีลเบสสั้นกว่า 235 มม. ใช้เครื่องยนต์ MIVEC รหัส 6G75 เช่นเดียวกับตัวท็อป และสุดท้ายเป็นรุ่นถูกของเวอร์ชั่น 3 ประตูก็คือ PAJERO Short VR-I เครื่องยนต์ 6G72 ล้อให้มาเป็นขนาด 16 นิ้ว กลับมาดูในส่วนของปาเจโร่ ที่ เปิดตัวในบ้านเรา ถือเป็นรุ่นที่ 4 ของมิตซูบิชิ ปาเจโร ที่มาพร้อมความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นด้วยการออกแบบที่ผสมผสานระหว่างเอกลักษณ์ ของปาเจโรทั้ง 3 รุ่น การออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่นและสะดุดตาด้วยกระจังหน้าแบบใหม่ที่ดูสง่า พร้อมการออกแบบเพื่อเสริมความหรูหรา และสะท้อนรสนิยมของผู้เป็นเจ้าของได้ยิ่งกว่าเดิม อาทิ กระจกมองข้างแบบโครเมียม ไฟเลี้ยวติดตั้งบนกระจกมองข้าง เพิ่มความปลอดภัยในการบอกทิศทาง ไฟส่องสว่างใต้กระจกมองข้าง เพิ่มความสว่างของพื้นที่บริเวณขึ้น-ลง รถ กระจกมองข้างแบบมุมมองกว้าง พร้อมระบบไล่ฝ้า กระจกกรองแสงสีเข้ม สำหรับผู้โดยสารตอนที่ 2-3 และกระจกบังลมหลัง ที่เปิดประตูด้านนอกแบบโครเมียม ไฟหน้าแบบ HID ปรับระดับลำแสงไฟหน้าอัตโนมัติ ระบบควบคุมการเปิด-ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ ระบบฉีดน้ำล้างไฟฟ้า ไฟตัดหมอกหน้า-หลัง บันไดข้าง สปอยเลอร์หลัง ราวหลังคา และฝาครอบล้ออะไหล่แบบโครเมียม การ ตกแต่งภายในเขาก็จะเน้นความเรียบง่ายด้วยโทนสีเบจ พร้อมการตกแต่งแบบลายไม้ แผงหน้าปัดออกแบบขึ้นใหม่ในสไตล์หรูร่วมสมัย พร้อมการวางตำแหน่งอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับการใช้งานจริง ด้วยชุดมาตรวัดพร้อมจอแสดงข้อมูลอเนกประสงค์ (Center Information Display) แสดงสถานะการทำงานของระบบต่าง ๆ ของตัวรถพร้อมชุดควบคุมเครื่องเสียงและชุดควบคุมอุณหภูมิ พวงมาลัยเป็นแบบ 4 ก้าน หุ้มหนัง ติดตั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) และระบบควบคุมการทำงานของเครื่องเสียงในตัว ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมความเร็วอัตโนมัติและควบคุมเครื่องเสียงได้ อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัยเพิ่มความสะดวกและปลอดภัยในการขับ ขี่มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ มิตซูบิชิ ปาเจโร่ ใหม่ ยังได้รับการออกแบบห้องโดยสารให้มีพื้นที่กว้างขวางสามารถปรับขยายพื้นที่ ภายในให้เพียงพอต่อสัมภาระรองรับทุกการเดินทาง เบาะผู้ขับและผู้โดยสารคู่หน้าปรับตำแหน่งด้วย สวิตช์ ไฟฟ้าได้ถึง 8 ทิศทาง พร้อม ฮีตเตอร์ และระบบปรับเบาะดันหลังไฟฟ้าด้านคนขับ ขณะที่เบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถแบ่งพับและยกขึ้นได้ในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อเพิ่มอรรถประโยชน์ในการใช้สอย เช่นเดียวกับเบาะนั่งแถวที่ 3 ซึ่งสามารถพับเก็บซ่อนไว้ในช่องสัมภาระที่พื้นห้องโดยสารได้ หรือถอดออกเมื่อต้องการใช้พื้นที่ช่องสัมภาระเพื่อเก็บสัมภาระอื่น ๆ และด้วยระบบเครื่องเสียงระดับ HI-END Rockford Acoustic Design กับการตกแต่งภายในที่เหนือกว่า จึงทำให้มิตซูบิชิ ปาเจโร่เป็นรถ SUV ระดับพรีเมียม มาตรฐานโลก ที่เพียบพร้อมด้วยคุณลักษณ์อันโดดเด่นเพื่อการขับเคลื่อนอันเหนือระดับในทุก สภาพถนน มาถึงเครื่องยนต์ตามที่เราเกริ่น กันไปในช่วงต้น ๆ ซึ่งเขาก็หยิบเอาเครื่องตัวใหญ่สุดมาเล่น ก็คือเครื่องเบนซิน 3.8 ลิตร รหัส 6G75 V6 SOHC 24 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน MIVEC เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ INVECS-II Sportronic ให้พละกำลังสูงสุดถึง 250 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 33.6 กก.-ม.หรือ 329 นิวตัน-เมตร ที่รอบเครื่องยนต์ต่ำเพียง 2,750 รอบ/นาที ถ่ายทอดพละกำลังสู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWC (ALL WHEEL CONTROL) แบบ SUPER SELECT 4WD-II (SS4-II) มีรูปแบบการทำงานให้เลือกถึง 4 โหมด คือ 2H ขับล้อหลังในสภาพถนนทางเรียบปรกติ 4H ขับเคลื่อนสี่ล้อเมื่อสภาพอากาศไม่ดี ถนนเปียกลื่นแต่ต้องใช้ความเร็วสูง 4HLc ขับเคลื่อนสี่ล้อ พร้อมเซ็นเตอร์ ดิฟล็อก สำหรับการขับขี่ในสภาพโคลนเลน หรือบนพื้นถนนที่ลื่น น้ำท่วม และ 4LLc ขับเคลื่อนสี่ล้อด้วยความเร็วต่ำ เพื่อปีนป่ายไปในสภาพเส้นทางทุรกันดาร พร้อมด้วย Active Stability & Traction Control (ASTC) ด้วยการใช้ระบบเครือข่ายเซ็นเซอร์อัจฉริยะ เพื่อควบคุมการกระจายกำลังของเครื่องยนต์และน้ำหนักการกดเบรกไปที่ล้อแต่ละ ล้อ รวมทั้งควบคุมการเลี้ยวเพื่อรักษาเสถียรภาพการควบคุมโครงสร้างตัวถัง แบบ monocoque เป็นชิ้นเดียวกับแชสซีส์แบบ ladder frame รองรับระบบช่วงล่างอิสระทั้ง 4 ล้อ พร้อมคอยล์สปริง มาพร้อมโครงสร้างตัวถังนิรภัยเหล็กกล้า และฝากระโปรงอะลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบาแต่ยังคงความแข็งแกร่งครบครัน มิตซูบิชิ ปาเจโร่ ใหม่ มาพร้อมระบบความปลอดภัยครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบถุงลมนิรภัย 2 ระดับ สำหรับผู้โดยสารตอนหน้าที่ จะ ทำหน้าที่ปกป้องผู้ขับและผู้โดยสารตอนหน้าจากการกระแทกทันที พร้อมระบบคอมพิวเตอร์วัดระดับแรงกระแทกเพื่อปล่อยถุงลมนิรภัยให้พองตัวใน ระดับที่ถูกต้องแม่นยำ 2 ระดับเพื่อความปลอดภัยสูงสุด พร้อมถุงลมนิรภัยและม่านถุงลมนิรภัยด้านข้างในกรณีที่มีการชนปะทะจากด้าน ข้าง และระบบความปลอดภัยต่าง ๆ ที่ทำให้มิตซูบิชิ ปาเจโร่ ได้ 6 ดาว จากการทดสอบการชนของสถาบันด้านความปลอดภัยรถยนต์ประเทศญี่ปุ่น (JNCAP) มี 3 สีให้เลือก คือ สีบรอนซ์เงิน สีขาวมุก และสีดำ โดยตั้งราคาเอาไว้ที่ 3,950,000 บาท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น